อ่านแล้ว 0
"ชนใดที่ไม่มีดนตรีการ ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ เขานั้นเหมาะคิดขบถอัปลักษณ์"
หากจะทาบวัดคุณสมบัติความเป็นคนจากวัฒนธรรมดนตรีตามบทกวีแล้วล่ะก็ คนอีสานน่าจะ ‘ยืนหนึ่งในแรงก์’ เป็นแน่แท้ เพราะความรุ่มรวยในวัฒนธรรมของภาคอีสานไม่เพียงแต่จะปรากฏในรูปแบบของภาษา อาหาร ประเพณี หรือสิ่งทอ แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือดนตรีและศิลปวัฒนธรรม ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์อย่างไม่มีใครเหมือน เมื่อเสียงพิณเสียงแคนดังขึ้นที่ใด ใครต่อใครต่างก็ตระหนักได้ทันทีว่า ‘ดนตรีอีสาน’ กำลังถูกขับขาน และการแสดงสุดม่วนคักนาม “หมอลำ” ก็กำลังจะปรากฏขึ้นในไม่ช้า
จากจุดกำเนิดเรียบง่ายอย่างการขับลำทำขวัญประกอบพิธีกรรมและการเล่าเรื่องในชุมชน สู่การแสดงบนเวทีขนาดใหญ่พร้อมแสงสีเสียงและแดนเซอร์ครบวง การแสดงหมอลำได้พัฒนาจากการละเล่นพื้นบ้านไปสู่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่สามารถมีมูลค่าทางเศรษฐกิจได้สูงถึงเกือบ 7,000 ล้านบาท และสร้างการจ้างงานได้ถึงเกือบ 40,000 คนต่อปี (ศิวาพร ฟองทอง, 2565) เมื่อใดมีงานบุญงานรื่นเริงในภาคอีสาน เมื่อนั้นย่อมมีวงหมอลำไปเล่นให้ได้เต้นหน้าฮ่านจนสราญใจกันไป วงหมอลำชั้นนำมีตารางงานจ้างจองล่วงหน้ากันข้ามปี มีคิวการแสดง 200-250 งานต่อปีตลอด 9 เดือนไปจนถึงปิดฤดูกาล (ช่วงหน้าฝน) เจ้าภาพจ้างครั้งหนึ่งก็ตก 300,000 บาทโดยเฉลี่ย แถมเมื่อมีงานแสดงที่ไหน พ่อค้าแม่ขายก็ได้โอกาสมาตั้งร้านขายของ ก่อให้เกิดกระแสเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจตามไปด้วย มองเผินๆ เหมือนจะเป็นธุรกิจที่รุ่งเรืองและยั่งยืนอย่างมีนัยสำคัญ
จริงอยู่ที่นักร้องหมอลำชื่อดังอาจได้ค่าตัวอย่างดารา แต่ทราบไหมว่าแดนเซอร์หมอลำส่วนใหญ่ได้ค่าจ้างขั้นต่ำแค่วันละ 500 บาท แต่เวลาการทำงานดาดๆ คืออย่างน้อย 9 ชั่วโมงต่อคืน ปั้นหน้าชื่นรับไฟตั้งแต่ 3 ทุ่มจรด 6 โมงเช้า เข้างาน 6-7 วันต่อสัปดาห์ ลาเวทีหนึ่งเสร็จก็เดินทางข้ามจังหวัดไปขึ้นแสดงวันถัดไป อาศัยได้หลับนอนเพียงตอนกลางวันและบนรถบัส (พัดลม) มีห้องน้ำวัดและก๊อกน้ำสนามเป็นที่พึ่งเพื่ออาบน้ำทำความสะอาด วาดแต่งใบหน้าและอาภรณ์กับหลังเวทีร้อนๆ และหลอดไฟนีออนที่แมลงบินตอม ต้องอดออมเป็นสำคัญเพราะประกันสุขภาพเดียวที่มีคือบัตรทอง ลองป่วยขึ้นมาสักหน ค่ารักษาพยาบาลที่ต้องทนรับในการไปหาหมออาจเทียบเท่ากับรายได้ทั้งอาทิตย์ หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องลางานแล้วตื่นตีห้าไปต่อคิว และที่ต้องตระหนักเสมอ คือยามแก่ตัวไป (ที่หมายถึงอายุ 35-40+) ก็อาจไม่ได้มีตำแหน่งงานหรือสวัสดิการใดๆ รองรับอีกแล้ว
นี่เรายังไม่ได้พูดถึงตลก นักแสดงสมทบ นักดนตรี คอนวอยต่อเวที ทีมงานโปรดักชัน คนขับรถ และหน้าที่อื่นๆ อีกมากมาย คณะหมอลำขนาดใหญ่วงหนึ่งมีสมาชิกมากถึง 200-400 คน เมื่อหักค่าใช้จ่ายเบ็ดเสร็จทุกอย่างแล้ว จึงไม่แปลกที่จะเหลือเงินตกมาถึงแต่ละคนเป็นธนบัตรไม่กี่ใบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นคอนเสิร์ต “ปิดวิก” ที่ไม่มีเจ้าภาพ ผู้ประกอบการกั้นรั้วเก็บค่าบัตรด้วยตัวเอง ด้วยความเป็นวัฒนธรรมจากพื้นบ้านที่อยู่คู่กับชาวอีสานมากว่าร้อยปี ผู้ชมคุ้นชินกับการดูฟรีหรือไม่ก็จ่าย 10-20 บาทมาแต่นานนม จึงเป็นเรื่องยากมากที่ผู้ชมชาวอีสานจะยอมจ่ายค่า “เบิ่ง” หมอลำในราคาที่แพงกว่าความคาดหมาย สวนทางกับต้นทุนค่าแรงและฉากชุดอุปกรณ์ที่สูงขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจและเทคโนโลยีโปรดักชัน
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ในขณะที่ค่าคอสตูมโชว์วัฒนธรรมสำหรับ 1 ฤดูกาลอาจกินเงินมากถึงครึ่งล้าน แต่การที่ผู้ประกอบการจะเรียกเก็บเงินค่าตั๋วสัก 200 บาท ก็หมายโดนผู้ชมอีสาน “เว้าใส่หลาย” เป็นแน่แท้ เช่นเดียวกับเวลาการแสดง ที่ถ้าไม่เล่นจน “ซอดแจ้ง” (ยันเช้า) เสียงโห่ประณามถ่มถุยจากคนดูก็เป็นสิ่งที่คาดได้ว่าจะเกิดขึ้น เมื่อเทียบภาพทาบไปยังคอนเสิร์ตศิลปินฝรั่งในกรุงเทพ ที่ผู้ชมพร้อมใจจะควักเงินเรือนหมื่นให้กับการแสดงความยาว 90 นาที ความเหลื่อมล้ำลักลั่นนี้จึงชวนให้รู้สึกน้อยใจอยู่ไม่น้อย ว่าทั้งๆ ที่ก็เป็นศิลปะการแสดงที่มีคุณค่าเหมือนกัน ต้องใช้ทรัพยากรและพลังในการรังสรรค์ผลงานไม่ต่างกัน แล้วเหตุใดจึงไม่สามารถได้รับค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อกันได้ ราคาของศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นนั้นไม่สามารถทัดเทียมกับศิลปะจากเมืองนอกและเมืองหลวงได้อย่างนั้นหรือ
คนเหล่านี้ทำหน้าที่มอบความบันเทิงให้กับโลก พวกเขาคือ “แรงงาน” ที่ก่อสร้างความสนุกสนานรื่นเริง ขับกล่อมบรรเลงบทเพลงประโลมผู้คนจากความเหนื่อยล้า ทว่าความ “ม่วนซื่นโฮแซว” ที่มอบให้ทุกคนได้สนุกสนานหน้าฮ่านกันนั้นมิได้ปราศจากสิ่งที่ต้องแลก สุขภาพ อนาคต และแรงกายแรงใจที่ทุ่มเทไปหาได้ไร้ซึ่งราคาที่ต้องจ่าย ด้วยเหตุนี้ การยื่นมือเข้ามาสนับสนุนจากภาครัฐจึงเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น หากรัฐมีความตระหนักและต้องการจะผลักดันการแสดงหมอลำในฐานะ Soft Power ที่แม้แต่ชาวต่างชาติต่างก็ให้ความสนใจเมื่อได้เห็น เพราะลำพังการช่วยเหลือกันเองในภาคเอกชนนั้นไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อคุณภาพชีวิต “แรงงานสร้างสรรค์” กลุ่มนี้ได้ยั่งยืนมากพอ ถึงแม้ว่าปัจจุบันวงหมอลำใหญ่ๆ บางวงจะได้มีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเปิดเป็นบริษัท เพื่อให้สามารถมอบสวัสดิการอย่างสิทธิ์ประกันกลุ่มกับลูกจ้าง ร่างสัญญาให้เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย และกำหนดวิธีการจ่ายเงินและตัวเลขค่าตอบแทนให้เป็นระบบแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ทุกคณะทุกวงที่จะมีศักยภาพมากพอที่จะสนับสนุนให้ศิลปินได้รับความยั่งยืนและมั่นคงในอาชีพ และต่อให้เป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จอย่างไร แต่ถ้าจะเดินทางไปต่างประเทศแล้วยังยื่นวีซ่าไม่ผ่าน เพราะคำจำกัดความว่าเป็น “อาชีพอิสระ” เพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถที่จะยืนยันความน่าเชื่อถือของวิชาชีพได้ เก่งไปอย่างไรก็เปล่าประโยชน์ พลัง Soft Power ก็ไม่อาจส่งต่อไปได้ถึงนานาชาติได้อยู่ดี
จากที่กล่าวมานี้ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทที่ภาครัฐสามารถเข้ามาแก้ไขจัดการปัญหาเชิงโครงสร้างในแวดวงอุตสาหกรรมหมอลำได้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างศูนย์จัดการแสดง (venue) ประจำจังหวัด/อำเภอ เพื่อให้เกิดการแสดงที่มีความปลอดภัย มีมาตรฐาน และอำนวยคุณภาพชีวิตที่ดีให้ไม่เพียงต่อผู้แสดง แต่ยังรวมไปถึงผู้ชมด้วย อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนในการจัดเตรียมสถานที่ของผู้ประกอบการ และเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป มีการยกระดับให้เป็นสากลมากขึ้น ผู้ชมก็น่าจะเต็มใจควักจ่ายเงินในการรับชมมหรสพมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย และเมื่อมีรายได้มากขึ้น เม็ดเงินที่ตกมาถึงแรงงานในวงก็ย่อมเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้น รศ. ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐสวัสดิการและผลักดันนโยบายรัฐสวัสดิการในประเทศไทย ได้ระบุถึงข้อเสนอที่จะช่วยให้ “แรงงานศิลปิน” ที่มิได้หมายถึงแค่ศิลปินหมอลำเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึง “แรงงานสร้างสรรค์” ในศิลปะทุกแขนงก็จะได้รับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นไปพร้อมกันไว้ว่า ทางออกที่จะทำให้ศิลปินได้หลุดจากวงจรรายได้ไม่เป็นธรรมและความไม่มั่นคงในชีวิต คือการที่ภาครัฐควรมีนโยบายรับรองรายได้ศิลปินผ่านกองทุนประกันรายได้, ส่งเสริมการรวมตัวและการสร้างเครือข่ายวิชาชีพ, จัดตั้งระบบบำนาญถ้วนหน้า, และดำเนินนโยบายยกเว้นและลดหย่อนหนี้สินสำหรับแรงงานศิลปิน เพียงเท่านี้ อาชีพ “ศิลปิน” ก็พึงกลายเป็นวิชาชีพที่สำเร็จยั่งยืนได้ไม่มากก็น้อย
แล้วเมื่อนั้น “หมอลำ” ก็จะไม่ใช่แค่ “การละเล่น” ที่ทำเพื่อเต้นกินรำกินเอาสนุกไปวันๆ ก่อนถึงวันหมดอายุขัย
หากแต่เป็น “อาชีพ” ที่น่าภาคภูมิใจในฐานะผู้สืบสานและส่งต่อศิลปวัฒนธรรมของชาติ
และชนชาติไทยก็จะได้ไม่กลายเป็นคนชอบกลในสันดานให้ใครริหมิ่นหยามได้แต่อย่างใด
มาร่วมศึกษาและเข้าใจวิถีชีวิตหมอลำได้ในสารคดี "ร้องลำทำงาน"
รับชมได้แล้ววันนี้ทาง www.VIPA.me และ VIPA Application 🧡
หรือคลิกที่ www.vipa.me/th/watch/13505 📺
.
อ้างอิงข้อมูล
คนชอบเล่าเรื่องที่ไม่เคยหมดเรื่องเล่า โตมากับวัฒนธรรมป๊อป และยังสนุกกับการตั้งคำถามกับโลกใบนี้อยู่ทุกวัน แม้ความช่างเพ้อฝันจะทำเงินไม่ค่อยได้... ก็ยังเลือกที่จะฝันอยู่ดี :)